กทม. เตรียมพร้อมรับมือสัญญาโรงขยะอ่อนนุชหมดปี 69 ผนึกเอกชนผุดโรงกำจัดขยะด้วยเทคโนโลยีใหม่ แก้ปัญหากลิ่นเหม็น
นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบกระทู้ถามเรื่องปัญหากลิ่นเหม็นจากศูนย์กำจัดมูลฝอยอ่อนนุช ของนายณัฐพงศ์ เปรมพูลสวัสดิ์ สส.ประชาชน
เรื่องการเตรียมความพร้อมหากในปี 2569 นี้ สัญญาโรงงานกำจัดขยะจะสิ้นสุดลง 2 สัญญาว่า
ภาครัฐได้เตรียมความพร้อมรับมือปัญหาดังกล่าวแล้ว ด้วยการร่วมมือกับเอกชนเตรียมโรงกำจัดขยะมูลฝอยแห่งใหม่ ทดแทนโรงเดิมที่หมดสัญญา
โดยสามารถกำจัดขยะได้ 1,000-1,600 ตันต่อวัน รวมทั้งยังมีแนวคิดจะนำขยะจากศูนย์อ่อนนุชไปกำจัดทำลายนอกพื้นที่อย่างถูกสุขลักษณะ และปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
นางสาวธีรรัตน์ กล่าวว่าปัจจุบันกรุงเทพมหานคร มีขยะที่ต้องกำจัดจำนวน 9,500 ตันต่อวัน
โดยส่งไปที่ศูนย์อ่อนนุช 4,000 ตัน ศูนย์หนองแขม 3,500 ตัน และศูนย์สายไหม 2,000 ตันต่อวัน โดยใช้วิธีฝังกลบตามหลักสุขาภิบาล
ซึ่งตามสัญญาว่าจ้างแล้ว ปัจจุบันมีสัญญาว่าจ้างโรงงานกำจัดขยะจำนวนทั้งสิ้น 10 สัญญา แต่ในอนาคตอันใกล้จะมี 2 สัญญา ที่จะหมดสัญญาในปี 2569
จึงเป็นที่มาของคำถามว่า ถ้าหมดสัญญาแล้ว กทม.จะทำอย่างไรนั้น
โรงกำจัดขยะ 2 สัญญา ถ้าหมดสัญญาไปแล้ว ก็จะมีแนวโน้มว่า เราจะมีการก่อสร้างโรงกำจัดมูลฝอยโดยใช้เทคโนโลยีแบบใหม่ขึ้นมา
โดยจะต้องใช้สารจุลลินทรีย์ หรือห้องความกดอากาศไม่ให้กลิ่นขยะออกไป ซึ่งจะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติม
ซึ่งในขณะนี้ได้มีเอกชนเข้ามาร่วมทำเตาเผามูลฝอยในโครงการจ้างเหมาเอกชนด้วยระบบเตาเผาขยะมูลฝอย 1,000 ตัน/วัน หรือสูงสุดได้ถึง 1,600 ตัน/วัน
ดังนั้น ภายหลังโรงขยะหมดสัญญา ก็จะสามารถใช้โรงขยะนี้รองรับ และยังมีแนวคิดศึกษาที่จะขนขยะจากภายในศูนย์กำจัดขยะอ่อนนุช
ไปต่างจังหวัดเพื่อไปผ่านกรรมวิธีกำจัดขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ รักษาสิ่งแวดล้อม
ส่วนข้อเสนอเรื่องการช่วยกันแยกขยะ ตั้งแต่ในครัวเรือน โรงเรียน ชุมชน จะช่วยให้มีการคัดแยกขยะที่รีไซเคิล ออกจากขยะสดหรือขยะเปียก จะได้ช่วยให้นำขยะรีไซเคิลผลิตใหม่
และลดต้นทุนการเผาขยะได้อย่างดี ส่วนประเด็นเสนอแนะจากท่าน สส. เรื่องการตั้งเงื่อนไขของคู่สัญญาจัดเก็บขยะ ก็เป็นเรื่องดี ที่เราจะช่วยกันตั้งมาตรฐานว่า
หากมาทำสัญญากับ กทม. ควรจะต้องมีการมาตรการวัดค่ามลพิษ ซึ่งควรจะบังคับใช้ได้จริง มีบทลงโทษ ไม่ใช่เพียงแค่การขอความร่วมมือ
ซึ่งก็เป็นแนวคิดที่น่าสนใจที่จะได้นำไปหารือกันต่อไป