จี้รัฐบาลหยุดเอื้อโรงงานรีไซเคิล-กำจัดกากมลพิษมาตรฐานต่ำ (ที่มา ประชาชาติธุรกิจ)

23 มกราคม 2568

“นักวิชาการ-ภาคประชาสังคม” เผยขยะจากกากอุตสาหกรรมล้น ส่งผลกระทบคุกคามสิทธิ เสรีภาพประชาชน จี้รัฐบาลหยุดมรดกทางมลพิษ แก้ไขกฎหมายหยุดเอื้อโรงงานรีไซเคิล-กำจัดกากมลพิษมาตรฐานต่ำ พร้อมเร่งคลอดกฎหมาย PRTR รายงานเคลื่อนย้ายสารมลพิษ ด้าน “กระทรวงอุตสาหกรรม” เตรียมชงร่าง พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรมเข้า ครม.สัปดาห์หน้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ 22 ม.ค. 2568 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้จัดกิจกรรมราชดำเนินเสวนาในหัวข้อ “วิกฤตขยะพิษกับชีวิตประชาชน” โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม และนักวิชาการ นำเสนอปัญหามลพิษจากกากอุตสาหกรรม และแนวทางการแก้ไขปัญหาเรื้อรังนี้ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาอย่างจริงจังจากภาครัฐ

นางสาวเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่า มูลนิธิได้ติดตามผลกระทบมลพิษจากอุตสาหกรรมมาตั้งแต่ปี 2541 ทำให้เห็นปัญหากากอุตสาหกรรมส่งผลกระทบคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอันนำมาซึ่งการสังหารผู้นำชุมชนที่ร่วมกันต่อต้านคัดค้านปัญหากากของเสียอุตสาหกรรมมากที่สุด ทั้งยังมีการคุกคาม และทำร้ายอันมีความสัมพันธ์กับปัญหากากอุตสาหกรรมค่อนข้างชัดเจนมาตลอดในหลายพื้นที่

กฎหมายเอื้อโรงงานรีไซเคิล-กำจัดกากของเสียแจ้งเกิดอย่างเสรี
นางสาวเพ็ญโฉมกล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวนี้เป็นปัญหาสะท้อนถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลผลักดันให้เกิดการลงทุนในด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่ไม่ได้ทำควบคู่กับการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ทำให้ธุรกิจการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมสามารถสร้างประโยชน์ได้อย่างมหาศาล ควบคู่กับการทุจริตคอร์รัปชั่น การออกกฎหมายที่เอื้อต่อการทำโรงงานรีไซเคิล และโรงงานกำจัดกากของเสียอย่างเสรี เพื่อประกอบกิจการได้ในทุกจังหวัด อีกทั้งยังยกเลิกกฎระเบียบที่ให้การกำจัดกากของเสียอุตสาหกรรมทำได้โดยวิธีฝังกลบเท่านั้นก็เปลี่ยนมาเป็นการอนุญาตให้นำมารีไซเคิลได้

โดยจุดเปลี่ยนสำคัญคือคำสั่ง คสช.ที่ 4/2559 ที่อนุญาตให้โรงงานประเภท 105 คือ โรงงานคัดแยกฝังกลบขยะ และโรงงานประเภท 106 ที่ดำเนินกิจการรีไซเคิลขยะจากอุตสาหกรรมดำเนินกิจการได้ และระงับการใช้กฎหมายผังเมืองจนทำให้ผู้ประกอบการจากประเทศจีนจำนวนมากเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย โดยใช้เทคโนโลยีที่ไม่ทันสมัย ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน อีกทั้งการละเลยการตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมายจากหน่วยงานท้องถิ่นทำให้สถานการณ์แย่ลง

“ทั้งหมดนี้คือมรดกมลพิษที่เกิดจากการบริหารนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลที่คำนึงถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยไม่ได้คิดถึงต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม รัฐบาลต้องเร่งรีบแก้ไขปัญหาโดยการปรับปรุงพระราชบัญญัติโรงงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น ใบอนุญาตประกอบโรงงานต้องมีการต่ออายุ และควรสนับสนุนการออก พ.ร.บ.การรายงาน และเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ หรือกฎหมาย PRTR ที่ร่างโดยภาคประชาชนและกำลังนำเข้าสู่สภา ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการแก้ไขปัญหามลพิษที่ต้นเหตุ” นางสาวเพ็ญโฉมกล่าว

ชงรัฐยับยั้งการขยายตัวของโรงงานประเภท 105 และ 106
นางสาวเพ็ญโฉมกล่าวด้วยว่า อยากเรียกร้องให้กระทรวงอุตสาหกรรมระงับการออกใบอนุญาตการจัดดำเนินกิจการโรงงานประเภท 105 และ 106 เพราะพบว่ามีบริษัทนายหน้ามาขอใบอนุญาต และปล่อยให้ผู้ประกอบกิจการจากจีนมาขอเช่าพื้นที่ทำกิจการ เมื่อมีความผิดใด ๆ ก็ไม่สามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้ เนื่องจากเป็นเพียงผู้เช่าพื้นที่เท่านั้น ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากให้กับชุมชน

สอดคล้องกับนายสนธิ คชวัฒน์ อาจารย์มหาวิทยาลัยและชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย ที่กล่าวว่า ประเทศไทยมีปริมาณขยะจากกากอุตสาหกรรมประมาณ 25 ล้านตัน ซึ่ง 19.8 ล้านตันสามารถนำไปกำจัดได้อย่างเหมาะสม ส่วนที่เหลือไม่ทราบแหล่งกำจัดที่ชัดเจน ทำให้เกิดคำถามว่าขยะเหล่านี้หายไปไหน เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีข่าวการเกิดเพลิงไหม้ในโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรมและโรงงานรีไซเคิลในหลายพื้นที่

โดยเฉพาะโรงงานรีไซเคิล วิน โพเสส ที่ อ.บ้านค่าย จ.ชลบุรี ส่งผลกระทบให้กับชุมชนกว่าร้อยหลังคาเรือนจากมลพิษทางอากาศจากการเผาไหม้ของสารเคมีที่เก็บไว้ในโรงงาน และภาพรวมประเทศไทยมีโรงงานที่รับกำจัด คัดแยกและรีไซเคิลกากอุตสาหกรรมอยู่ประมาณ 2,500 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นโรงงานที่มีเงินลงทุนน้อย ประสิทธิภาพต่ำ และระบบการบำบัดมลพิษไม่มีประสิทธิภาพ บางส่วนลักลอบฝังกากอุตสาหกรรมในพื้นที่โรงงานเอง หรือในพื้นที่ดินที่ซื้อไว้ใกล้แหล่งชุมชน

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการลักลอบการนำเข้ากากอุตสาหกรรม ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และขยะพลาสติกเข้ามาในประเทศ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ไม่สามารถกำกับดูแล ตรวจสอบสั่งการและดำเนินคดีได้ ทำให้ปัญหาดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขได้

“สิ่งเร่งด่วนที่ควรจะทำในตอนนี้คือ รัฐบาลต้องยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 4/2559 ให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อยับยั้งการขยายตัวของโรงงานประเภท 105 และ 106 นอกจากนี้ยังต้องเร่งการแก้ไขข้อกฎหมายให้มีการวางเงินประกัน และการจัดตั้งกองทุนโดยเก็บเงินจากโรงงานเพื่อนำเงินมาช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงที” นายสนธิกล่าว

นายสนธิกล่าวอีกว่า นอกจากนี้จะต้องมีการปฏิรูประบบอนุญาตตั้งโรงงานประเภทดังกล่าวให้เป็นโรงงานขนาดใหญ่ มีประสิทธิภาพในการขจัดมลพิษ รวมทั้งปฏิรูประบบอนุญาต และการเคลื่อนย้ายกาก ให้มีการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ โดยต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลทั้งการจัดเก็บ การขนย้าย การจัดการกากของแต่ละโรงงานให้สาธารณชนรับทราบด้วย อีกทั้งควรกำหนดให้โรงงานไฟฟ้าความร้อนทุกขนาดที่ผลิตจากเชื้อเพลิงขยะ รวมถึงโรงงานรีไซเคิลกากของเสียอุตสาหกรรมทุกขนาดต้องทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

จ่อเสนอร่าง พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรมเข้า ครม.สัปดาห์หน้า
ขณะที่ ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานคณะที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมยุคใหม่ให้ความใส่ใจกับประเด็นสิ่งแวดล้อม โดยมีนโยบายในการปรับปรุงระเบียบหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานให้มีความเหมาะสมมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยกระทรวงอุตสาหกรรมจะนำเสนอร่าง พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม พ.ศ. … เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในสัปดาห์หน้า

โดยเนื้อหาสำคัญให้มีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นกับโรงงานประเภท 105 และ 106 โดยให้โรงงานประเภทดังกล่าวอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ และกากอุตสาหกรรมยังหมายรวมถึงกากอุตสาหกรรมจากการผลิต และกากอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ เช่น ขยะอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวยังมีเรื่องการจัดตั้งกองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืน เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลระทบจากมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมดังกล่าว โดยใช้เงินตั้งต้นจากกองทุน SME ประชารัฐ จำนวน 20,000 ล้านบาท เพื่อลดภาระทางการคลังของรัฐบาล ซึ่งกองทุน SME ประชารัฐจะยังคงอยู่ เพียงขยายการดูแลไปยังผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษ ซึ่งคาดว่ากฎหมายจะมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้ และมั่นใจว่ากฎหมายดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญเพื่อนำไปสู่อุตสาหกรรมที่สะอาดมากขึ้น

สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินพร้อมตรวจสอบเรื่องร้องเรียน
ด้านนางขนิษฐนันท์ อภิหรรษากร รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างกับชุมชน โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ 2560 หน้าที่ของรัฐ หมวดที่ 5 ในการทำให้สิทธิของประชาชนเป็นสิ่งจับต้องได้ ซึ่งสามารถเข้าไปตรวจสอบเรื่องร้องเรียน โดยขอข้อมูลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และนำข้อมูลมาวิเคราะห์ จัดทำข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไข

โดยสามารถส่งข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง หรือคณะรัฐมนตรี จะต้องมีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติให้เกิดผล เช่น กรณีการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมจากโรงงานแวกซ์ การ์เบจ รีไซเคิล เซ็นเตอร์ ที่ จ.ราชบุรี ได้ส่งข้อเสนอแนะเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว เป็นต้น ซึ่งสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจในการสั่งการได้โดยตรง มีเพียงหน้าที่ในการให้คำเสนอแนะเท่านั้น

ที่มา : https://www.prachachat.net/general/news-1739596